พระวิญญาณ

คำถามเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

1. พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าหรือ?

ปกติผมจะถามคริสเตียนว่าพระเจ้าอยู่ไหน? และทำนองเดียวกันว่าพระเยซูอยู่ไหน? คำตอบที่ได้รับคืออยู่บนฟ้าสวรรค์ และพระเยซูอยู่ข้างขวาของพระเจ้า อยู่บนสวรรค์เช่นกัน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าที่เราสัมผัส รู้สึกได้ ต่างจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซู หากคุณจะแสวงหาพระเจ้าคุณจะหาพระเจ้าองค์ไหน? คำตอบคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคัมภีร์จึงได้กำหนดพระเจ้าเป็นตรีเอกานุภาพ คือมีสามภาค และเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้ายกเว้นอาดัมกับเอวา ช่วงที่ยังอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าหรือสวนเอเดน ต่อมาเราก็เห็นพระเจ้าในแบบพระเยซู วันนี้เราสัมผัสพระเจ้าทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าคุณไม่เชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าคุณก็เพ้อฝัน และไม่มีทางรู้จักพระเจ้า คุณกำลังนมัสการพระเจ้าที่คุณสร้างขึ้นเอง

2. ทำไมผมจึงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้?

สาเหตุสำคัญคือ การมีรากขมขื่นกับใครบางคน ที่ไม่ต้องการอภัย วิธีแก้ไข ก็ต้องให้อภัย และทดสอบด้วยการอธิษฐานอวยพรเขา และครอบครัวของเขา หากคุณสามารถอธิษฐานขอพระเจ้าให้เขาได้โดยไม่รู้สึกแย่ แล้วขอพระวิญญาณใหม่ ส่วนใหญ่สำเร็จ ส่วนตัวผมมักจะแนะนำให้เอาความบาปผิดของเราตรึงไว้ที่กางเขนทั้งหมด และสอนเรื่องการเปิดใจรับพระวิญญาณ ในประสบการณ์ที่ผ่านมาสองอย่างนี้เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้การขอพระวิญญาณไม่ได้  แก้ไขแล้วลองดูนะครับ

3. ต้องพูดภาษาแปลกๆด้วยไหม?

ไม่จำเป็น แต่การพูดภาษาแปลกเป็นเหตุให้เราจำเริญขึ้น ส่วนตัวจะเน้นให้ทุกคนขอการพูดภาษาแปลกด้วย เริ่มด้วยการพยายามพูดรัวลิ้น และพัฒนาเป็นการพูดที่ออกมาจากใจ และจิตวิญญาณในที่สุด ใช้เวลาครับ แล้วภาษาแปลกๆของเราจะเริ่มเปลี่ยน เป็นสื่อให้เราสัมผัสโลกวิญญาณและเข้าใจพระทัยพระเจ้าได้ เช่นเดียวกับการฟังเสียงของพระเจ้า หรือใกล้เคียง ประสบการณ์จะสอนคุณให้ใช้ความคิดไประหว่างพูดภาษาแปลกๆแล้วความคิดจะเปลี่ยนไป และนี่คือการพัฒนาการสื่อสารกับพระเจ้าอีกทางหนึ่ง ถ้ามีพระวิญญาณแล้วผมแนะนำว่าจะต้องพัฒนาภาษาแปลกๆนะครับ สำคัญมาก

ส่วนคนที่เข้ามาเรียนจากผม จะต้องพูดภาษาแปลกๆได้ และจะต้องพูดเป็นภาษาฝ่ายจิตวิญญาณให้ได้โดยเรีว เพราะภาษาแปลกๆทำให้คนที่พูดจำเริญขึ้น ถ้ารู้ว่าพูดภาษาแปลกๆแล้วจำเริญขึ้นและเติบโตขึ้นแล้วไม่ทำ ผมก็จะเชิญออกจากกลุ่ม เพราะไม่อยากสอนคนที่ไม่ต้องการเติบโต หรือจำเริญขึ้น

4. รู้ได้อย่างไรว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์?

ดูที่ผลของพระวิญญาณของคนนั้นตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ ปกติแล้วการทดลองจะตามมาเพื่อพิสูจน์ว่าท่านแสวงหาพระเจ้าแท้จริงหรือเปล่า? หลายๆคนที่ล้มเลิกในช่วงการทดลองนี้ โดยบอกว่าพระเจ้าไม่ศักดิ์สิทธิ์ ขอแล้วไม่ได้ ไม่แน่จริง ไม่เห็นเป็นจริง พระคัมภีร์โกหก คริสเตียนหลอกลวง ก็ว่ากันไป การทดลองการเข้มข้นขึ้นตามระดับความเชื่อ หากเราเชื่อในการเป็นบุตรของพระเจ้า การทดลองจะหนักมากเพื่อพิสูจน์ว่าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่เชื่ออย่างที่พวกเราพูดๆกัน มันเป็นเรื่องจริงและสามารถพิสูจน์ได้ แต่การพิสูจน์ก็ต้องพิสูจน์ด้วยพระวิญญาณ เพราะพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ

5. รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร?

เมื่อมีความเชื่อ ให้อภัยทุกคนแล้ว ก็ควรจะมาถึงตอนที่รับพระวิญญาณ ปกติผู้เขียนจะใช้เวลานมัสการและบอกผู้ที่จะรับพระวิญญาณว่าเมื่อให้สัญญาณก็ให้ขอรับพระวิญญาณจากพระเจ้าโดยตรง ให้เปิดใจและขอพระวิญญาณลงมาสถิตในเรา พระวิญญาณก็จะลงมาสถิต จะวางมือหรือไม่วางก็ได้ แต่บ่อยครั้ง พระวิญญาณจะนำบางคนที่เป็นสมาชิกให้วางมือ เหตุเพราะส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการวางมือมาก่อน แต่ไม่เคยได้รับพระวิญญาณ จึงขอให้วางมือรับพระวิญญาณ เพราะเขาเคยเห็นแต่วิธีนี้ ดังนั้นจะรับวิธีไหนก็ได้ ส่วนการดูว่าเป็นของแท้หรือไม่? ก็ดูที่ผลหรือการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกนั้นๆ การรับพระวิญญาณเป็นบันไดแรกๆของชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์

6. บัพติศมาในน้ำและพระวิญญาณต่างกันอย่างไร?

บัพติศมาในน้ำบ่งชี้ถึงการกลับใจใหม่ ส่วนบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการรับเอาพระเจ้าเข้ามาในชีวิตเรา เพื่อวัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงเราให้กลายเป็นคนใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้น

7. ของประทานต่างๆของพระวิญญาณทุกคนได้รับไหม?

ก็อยู่ที่ความปรารถนาของเรา บางคนก็มีการพัฒนาและมีของประทานต่างๆ แต่ของประทานที่ผู้เขียนแนะนำคือ การพูดภาษาแปลก ส่วนการพัฒนาของประทานด้านอื่นๆขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน และความตั้งใจของคนนั้น และอดทนที่จะเรียนรู้หรือพัฒนามัน เช่น การอัศจรรย์หรือรักษาโรค ผลสำเร็จขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าและการทรงนำของพระวิญญาณ  หากเราฝึกฝนการเคลื่อนโดยพระวิญญาณได้ชำนาญแล้ว ของประทานที่มีก็จะถูกพัฒนาให้ดีขึ้น เด่นชัดขึ้น

8. เป็นคริสเตียนและไม่รับพระวิญญาณได้ไหม?

ก็นับถือศาสนาคริสต์ซิ ศึกษาพระคัมภีร์ ประกาศให้คนเชื่อ และสอนพระคัมภีร์ จริงๆศาสนาอะไรมันก็ดีทั้งนั้น โดยเฉพาะพุทธศาสนา มีคำสอนที่ดีมาก แต่ของปลอมเยอะมาก แต่ละวัดก็สอนแบบของตนเอง ไม่ได้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามา เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ เริ่มต้นของการมานับถือศาสนานั้นดี แต่ต่อมาก็รู้สึกแปลกๆไป ส่วนที่ว่าไม่รับพระวิญญาณได้ไหม? ก็บอกแล้วมานับถือศาสนา ไม่ได้มาเชื่อพระเจ้า ถ้าคุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วคุณพบหรือรู้จักพระเจ้าหรือยัง? ไม่ใช่พระเจ้าในพระคัมภีร์ แต่เป็นพระเจ้าในชีวิตประจำวัน ถ้ายังก็แสวงหาต่อ ความเชื่อเป็นจุดเริ่มต้น ผมเรียกความเชื่อว่าเป็นข้อสมมุติฐานที่จะต้องแสวงหาหรือพิสูจน์ต่อไป คำตอบคือ ไม่รับพระวิญญาณ ก็ไม่รู้จักพระเจ้า


9. จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตของเรา? 

พระวิญญาณรู้จักพระทัยพระเจ้า ถ้าคุณมีพระวิญญาณ ก็ขอให้พระวิญญาณนำชีวิตของเรา เราก็จะอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

10. ความรอด ชีวิตนิรันดร์ สวรรค์ เป็นอย่างไร?

เป็นนิยามของแต่ละสำนัก ส่วนตัวไม่ค่อยสนใจ ผู้เขียนเน้นการเป็นบุตรพระเจ้าก็จะได้ทุกอย่างที่กล่าวโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องแสวงหาทีละอย่าง

11. ทำไมเราต้องกลับไปคืนดีกับพระเจ้า?

ก็เพราะเราเป็นของพระองค์ พระเจ้าสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก รวมทั้งมนุษย์และสัตว์ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นของพระองค์ เมื่อก่อนเราอยู่ในสวนเอเดนหรือแผ่นดินของพระเจ้า แต่ถูกงูหรือมารได้หลอกให้เราต้องออกจากแผ่นดินของพระเจ้า การกลับไปคืนดีกับพระเจ้าก็เพื่อเราจะได้กลับไปยังแผ่นดินของพระองค์และกลับไปหาผู้ที่สร้างเรามา เพื่อชีวิตที่ดีกว่า และถูกต้องกว่า

12. การล้มลงในพระวิญญาณเป็นอย่างไร?

เป็นลักษณะหนึ่งของการสัมผัสของพระวิญญาณ อาการที่เห็นชัดบ่อยคือน้ำตาไหล ซู่ซ่า หรือขนลุก แรงขึ้นไปก็ไฟฟ้าซ๊อค หรือยืนอยู่ใต้น้ำตก เป็นต้น ส่วนการล้มลงก็เกิดขึ้นได้แต่ไม่ค่อยบ่อยครั้ง คนไหนมีการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่มากๆอาจจะไม่สัมผัสหรือล้มโดยมารยาท การล้มลงเป็นเรื่องธรรมดา

13. ไฟพระวิญญาณเป็นอย่างไร? 

เป็นการพยากรณ์ของยอห์นบัพติศโตว่า พระเยซูจะเป็นให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ แต่พระเยซูไม่ได้ให้โดยพระองค์เอง แต่เป็นผู้ไปทูลขอจากพระเจ้า (พระบิดา) มาให้เรา ไฟเป็นส่วนหนึ่งของพระวิญญาณ เพราะหน้าที่สำคัญของพระวิญญาณนอกจากจะนำเราแล้ว ยังทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา โดยการทำลายสิ่งที่แปลกปลอม สิ่งไม่ดีออกจากชีวิตของเรา แต่เราก็จะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ต้องร่วมมือกับพระองค์ ไฟเป็นของคู่กับพระวิญญาณ หรือเป็นปฏิกิริยาหนึ่งของพระวิญญาณ

14. การทรงสถิตและการสัมผัสพระวิญญาณต่างกันอย่างไร?

การทรงสถิตก็บอกแล้วว่ามีอยู่ แต่จะนานเท่าไร ก็ขึ้นกับแต่ละบุคคล ส่วนการสัมผัสพระวิญญาณก็เป็นการสัมผัส รู้สึกถึงการมาของพระวิญญาณ เช่นจะมีอาการทางร่างกายต่างๆ

15. ทำไมเรื่องฝ่ายวิญญาณเข้าใจยากและอาจารย์ก็สอนไม่เหมือนกัน?

ความจริงพระคัมภีร์อาจารย์ก็ตีความไม่เหมือนกัน ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีทั้งของจริงและของปลอม และของโกหกหลอกลวงมีมากกว่าของจริง พระเจ้าจึงเน้นย้ำให้เราแสวงหาความจริง ผู้เขียนได้เคยทดลองให้อธิบายรถยนต์แก่คนป่าที่ไม่เคยเจอผู้คนมาก่อน คำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดคือ รถยนต์ก็เหมือนกับม้าหรือวัว ลองเอาภาพทั้งสองมาเปรียบเทียบดูว่าเป็นอย่างไร? เช่นเดียวกับเรื่องฝ่ายพระวิญญาณ ทุกคนก็อธิบายไม่เหมือนกัน มีทางเดียวที่รู้ได้คือ ไปสัมผัสและมีประสบการณ์ด้วยตนเองเท่านั้น

16. เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์  หมายความอย่างไร?

ร่างกายมีการเติบโต  จิตวิญญาณก็เช่นกัน  ต้องการการเติบโต  แต่ครูส่วนใหญ่สอนแต่เรื่องการกลับใจใหม่  การอภัยโทษบาป ความเชื่อในพระเจ้า  การรับพระวิญญาณ เงินถวายสิบลด วนเวียนอยู่แค่นี้  และอ้างพระคัมภีร์ว่าถูกต้องแล้ว  ขอพูดความจริงว่าผิด  เพราะจิตวิญญาณต้องการเติบโตเช่นกัน  ถ้าจิตวิญญาณไม่เติบโตจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าไม่ได้

การเติบโตเริ่มเมื่อรับพระวิญญาณบริสุทธิ์  เรียนรู้การทรงนำของพระองค์  ฝึกฝนความรู้สึกนึกคิดให้เหมือนพระองค์  ใช้ความเชื่อมากขึ้น เช่น เมื่อพระเยซูอภัยโทษบาปของเราแล้ว  เราจะต้องเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น  และเราต้องรู้สึกและประพฤติอย่างคนที่ไม่มีบาป  วิธีทดสอบ  เมื่ออ่านพระคัมภีร์เรารู้สึกผิดหรือพระคัมภีร์ฟ้องผิดเราไหม?  ถ้ายังมีความรู้สึกผิด  การอภัยบาปของพระเยซูยังไม่สำเร็จในชีวิตของเรา  เมื่อเรารับพระวิญญาณแล้วรู้สึกซู่ซ่า แต่ภายหลังไม่รู้สึกอย่างนั้น ก็ว่าพระวิญญาณไม่ได้อยู่ด้วย  ต้องแสวงหาหรือไปรับพระวิญญาณบ่อยๆ นี่มันเป็นเด็กฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่ได้ผิดอะไร ที่ไม่เหมาะสมก็คือ  เราควรโตเป็นครูสอนได้แล้ว  แต่กลับประพฤติแบบเด็กๆอยู่  วิธีแก้ไข  ใช้ความเชื่อแทนการรู้สึกซู่ซ่า  และใช้สมองคิด  ตัดสิน  เรื่องต่างๆ ให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า  แทนการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว

เรื่องการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและกระทำตาม จะเห็นว่าผมไม่สอนแล้ว  แต่สอนการเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แทน  คือการเป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณและพิจารณาตัดสินในสิ่งต่างๆ โดยสติปัญญาที่พระวิญญาณทรงนำ แน่นอนเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะกระทำกันได้  แต่ผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณเขากระทำกัน

17. เทพต่างๆ และวิญญาณ เช่น ผี มีจริงหรือ?

ขึ้นอยู่กับความเชื่อของท่าน ก็เหมือนพระเจ้า ท่านเชื่อว่ามีจริงหรือ?  ส่วนผมเชื่อว่ามีจริง เพราะพระคัมภีร์ก็เขียนว่ามี และผมเองพิสูจน์แล้วว่ามี ส่วนท่านก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเอง อย่ามาเชื่อตามผม

18. ดิฉันติดต่อกับเทพต่างๆ และพระเจ้า รวมทั้งเรื่องลึกลับ เช่น มนุษย์ต่างดาวฯ ดิฉันเพี้ยนหรือเปล่า?

ขอถามคำเดียวสิ่งที่คุณไปยุ่งด้วยทำให้คุณจำเริญขึ้นหรือเปล่า? มีความสุขขึ้นไหม? ถ้าจำเริญขึ้นก็ทำไปเถิด เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ หลายคนคิดว่าตนวิเศษเพราะสามารถติดต่อกับเทพฯ และพระเจ้า ทั้งได้ความรู้แปลกๆกว่าคนทั่วไป จนเพี้ยนพี่น้องต้องส่งไปโรงพยาบาลเป็นต้น ผมก็จะแนะนำว่าเลิกยุ่งกับพวกเหล่านี้ได้แล้ว ในโลกมีเรื่องแปลกๆและความรู้มากมาย เราไม่จำจะต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง รู้จักวางหลักความเชื่อ และแนวทางการเติบโตที่จะทำให้เราจำเริญขึ้นทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้ตนเองมีความสุขและสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ขอเตือนให้พิจารณาให้รอบคอบและตัดสินใจอย่างฉลาด

ในกรณีที่อ้างว่าติดต่อกับพระเจ้า ขอบอกไว้ว่าผมไม่สอนการฟังเสียงพระเจ้า เพราะผิดเพื้ยนได้ง่าย การพูดคุยกับพระเจ้า สำหรับคนทั่วๆไปกว่าร้อยละ 90 ไม่ได้พูดกับพระเจ้าจริง แม้จะถูกต้อง (บางครั้ง) แม้แต่ผมเองก็ระวังเวลาได้ยินเสียงของพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อทุกเสียงที่คิดว่ามาจากพระเจ้า เป็นมาจากพระเจ้าจริง ไม่มีอะไรสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ ประสบการณ์จะทำให้เราชำนาญและลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด ก็ได้เพียงแค่นี้ สิ่งที่เธอทำเหมาะสำหรับคนที่ชำนาญและมีประสบการณ์สูงเท่านั้น คำแนะนำ คืออย่ายุ่งกับเรื่องพวกนี้

19. พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณเป็นผู้ช่วย ขณะเดียวกันก็บอกว่าทรงนำเรา ไม่ขัดแย้งกันหรือ?

ดูผิวเผินขัดแย้งกัน แต่อยู่ที่คนๆนั้น เพราะมนุษย์สามารถรับวิญญาณทั้งดีและชั่ว ให้มาอยู่ในตัวได้  และสามารถปฏิเสธวิญญาณทั้งหลายได้เช่นกัน (โดยปกติ) พูดภาษาชาวบ้านคือ ในตัวคุณ คุณใหญ่สุด ยกตัวอย่าง คุณสงสัยว่าทางหลวงหมายเลข 4 ไปกรุงเทพฯได้ไหม? คุณถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระองค์บอกว่าไปได้ ก็อยู่ที่คุณจะเชือหรือไม่? ถ้าเชื่อพระองค์ก็เรียกว่า ทรงนำเรา นั่นคือเราต้องยอมให้พระองค์ทรงนำ และเราพร้อมที่จะเชื่อฟัง ที่เรียกว่า ผู้ช่วย เพราะพระองค์จะทำงานก็ต่อเมื่อคุณร้องขอ หรือต้องการ (ในภาวะปกติ) ดังนั้น เราเองจะต้องมีความรู้ และทิศทาง หรือวัตถุประสงค์ในการดำเนินชีวิตกับพระวิญญาณ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นี่ก็เป็นเทคนิคที่จะต้องเรียนรู้

20. ทำไมอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสอนเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์?

เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็น หรือพิสูจน์โดยคนอื่นได้ เว้นแต่คนๆนั้นจะมีประสบการณ์กับพระองค์ด้วยตนเอง ซึ่งผมมักจะเปรียบเทียบการไปบรรยายเรื่อง รถยนต์ ให้คนป่าที่ไม่เคยพบเห็นมนุษย์ ปรากฎว่าคนที่ให้ไปทดลองบรรยาย ส่วนใหญ่เปรียบรถยนต์เหมือนม้าหรือวัว ลองเอาสองภาพนี้มาเปรียบดู มันไม่เหมือนกันเลย เช่นกันเรื่องพระวิญญาณฯ ต้องไปสัมผัสเองเท่านั้น ไม่สามารถบรรยายหรือสอนให้ชัดเจนได้

อาจารย์ส่วนใหญ่ถูกฝึกมาทางด้านการตีความพระคัมภีร์ และทักษะด้านพูดและการบรรยาย จึงขาดทักษะด้านการฝึกฝนในภาคปฏิบัติว่าจะนำมาใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร? ดังนั้น ทักษะการสอนเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ุจึงด้อยกว่าด้านตีความพระคัมภีร์ แต่เดี่๋ยวนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว

21. ที่ว่าพูดภาษาแปลกๆ แล้วจำเริญขึ้น มันจำเริญขึ้นอย่างไร?

เริ่มต้นจากรัวลิ้นให้ออกมาเป็นเสียงแปลกๆ แล้วพัฒนาเป็นภาษาที่ออกมาจากใจ สุดท้ายก็เป็นภาษาฝ่ายพระวิญญาณ นั่นคือ เริ่มการติดต่อสื่อสารกับพระวิญญาณได้ และนี่คือการจำเริญขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ

ผมพูดภาษาแปลกๆในเวลาที่ที่ประชุมร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เพราะเสียงเพลงจะกลบเสียงภาษาแปลกๆของผม (เพราะภาษาแปลกๆไม่ทำให้คนได้ยินจำเริญขึ้น ผมจึงไม่พูดให้เขาได้ยิน) ทำให้ผมทราบน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องต่างๆ โดยความคิดที่เกิดขึ้นกับการพูดภาษาแปลกๆ บางครั้งก็เป็นการสนทนากับพระวิญญาณ จากประสบการณ์ทำให้ทราบว่าอะไรดี อะไรดียอดเยี่ยมและอะไรดีที่สุด และในการสอนผมก็สามารถเลือกสอนสิ่งที่ดี ถึงดีที่สุดได้

ข้อผิดพลาดของคนส่วนใหญ่คือ พูดภาษาแปลกอย่างเดียว ไม่ใช้ความคิดและสติปัญญาร่วมด้วย

ในการสอนของผม ผมจะนำให้มีประสบการณ์กับพระวิญญาณโดยเร็ว และพระองค์จะทรงสอนเขาด้วย เช่น น้องคนหนึ่งต่อต้านการพูดภาษาแปลกๆ ถูกผมสอนแกมบังคับให้ฝึกภาษาแปลกq คืนหนึ่งก็ฝันว่าได้พูดภาษาแปลกไพเราะมากและตัวก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ผมก็ถามว่าแล้วมันหมายความว่าอย่างไร? เธอบอกว่าสงสัยพระเจ้ามาสอนว่าพูดภาษาแปลกๆแล้วจะใกล้ชิดพระเจ้าได้ เดี๋ยวนี้พูดภาษาแปลกแบบภาษาจิตวิญญาณได้แล้ว

22. เรื่องพระวิญญาณนี้วุ่นวาย มันน่ากลัว?

เด็กเล็กๆ บางคนบอกน่ารัก บางคนก็บอกว่าวุ่นวาย ทนไม่ไหว มันซนมาก อยู่ที่เรามีความรักและอดทนในเด็กนั้นเพียงใด เมื่อเด็กโตขึ้นอาการเหล่านี้ก็หายไป

เด็กฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นกัน ดูวุ่นวาย ไม่มีระเบียบในช่วงแรก เมื่อเติบโตขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณอาการเหล่านี้ก็ดีขึ้น

ส่วนที่ว่าน่ากลัวเพราะเราไม่มองมันให้ชัด เช่น ศพคนที่เสียชีวิตดูน่ากลัวมาก แต่ถ้ายืนพิจารณาให้ดีมันก็ไม่มีอะไร เหมือนคนนอนหลับและผิวหนังเปลี่ยนสีคล้ำขึ้น หากเราพิจารณาทุกสิ่งอย่างผู้ใหญ่ที่โตแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะในความรักไม่มีความกลัว แต่จะพิจารณาและตัดสินอย่างที่มันเป็นจริง ไม่ใช่ภาพสลัวๆที่มองเห็น

23. การล้มลงเวลารับพระวิญญาณ เช่น การวางมือ คืออะไร? จำเป็นต้องล้มไหม?

การล้มลงเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น สัมผัสพระวิญญาณแรงๆ เพราะไม่คุ้นเคยจึงทานไม่ได้ก็ล้ม บ้างก็ทำตามๆกัน หรือเมื่อก่อนเคยล้ม ครั้งนี้ก็เลยล้มให้เหมือนเก่า

ส่วนที่ว่าจำเป็นไหม? ส่วนตัวคิดว่า ไม่จำเป็น เพราะความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การล้มหรือไม่ล้ม แต่อยู่ได้รับพระวิญญาณเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราหรือไม่? และให้พระองค์นำชีวิตของเราหรือเปล่า? ไม่อยากให้ยึดติดกับความรู้สึกหรือท่าทางมากเกินไป แต่อยากให้เข้าไปถึงแก่นของพระวิญญาณว่าพระองค์มีประโยชน์กับเราอย่างไร? และเราสามารถดำเนินชีวิตที่เกิดผลมากๆโดยการทรงนำของพระวิญญาณ ได้อย่างไรมากกว่า

24. รู้ได้ไงว่าเป็นบุตรของพระเจ้า?

ทุกคนสามารถพูดได้ว่าเป็นบุตร แต่คุณจะรู้ด้วยตัวเองเมื่อการเป็นบุตรเกิดขึ้น ในรูปแบบของแต่ละคน ทั้งของจริงและของปลอม

การสนิทสนมกับพระวิญญาณและให้พระวิญญาณทรงนำหรือเคลื่อนโดยพระวิญญาณบ่อยๆ ความชัดเจนในโลกวิญญาณจะชัดเจนขึ้น อย่าไปกลัวว่าของจริงหรือของปลอม ไม่นานความจริงจะปรากฎ และความเชื่อ ความมั่นใจก็จะมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลง การเติบโตจะรวดเร็วกว่าเดิมมาก และนั้นคือความมั่นใจว่าเราเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น